สีของเพชรคืออะไร?
ทำไม?ถึงมีผลต่อราคาเพชร

ถ้าคุณกำลังมองหาเพชรน้ำงามสักเม็ด หรือแหวนเพชรสวยๆ สักวง สิ่งที่ต้องนึกถึงเป็นอย่างแรกเลยก็คือ สีของเพชร หรือน้ำเพชร ที่ตัวบ่งบอกคุณภาพของเพชร โดยปกติแล้วเพชรแต่ละเม็ดนั้นมีราคาที่แตกต่างกัน ราคาสูง ราคาต่ำก็ขึ้นอยู่กับสีของเพชร ตั้งแต่โทนสีขาวใสจนไปถึงโทนสีเหลือง ถ้าคุณมีความเข้าใจในเรื่องสีเพชรเป็นอย่างดี ก็จะช่วยให้คุณเลือกเพชรแบบที่ต้องการได้ โดยที่ไม่ต้องจ่ายเงินมากเกินจำเป็นอีกด้วย 

สีของเพชร คืออะไร? 

สีของเพชร หรือคนไทยนิยมเรียกว่า ‘น้ำเพชร’ คือ หนึ่งในสี่ของการประเมินคุณภาพของเพชร หรือ ที่เราคุ้นชินกับหลักการประเมิน 4C’s ที่ใช้ในการพิจารณาคุณภาพของเพชร โดยอ้างอิงจากมาตรฐาน The Gemological Institute of America (GIA)  โดยสีเพชรถูกแบ่งออกเป็นสีย่อย D ถึง  Z   และ 5 เกรดใหญ่ (ไร้สี ถึง อมเหลือง)   

เพชรจะมีมูลค่าสูงหากเพชรนั้นอยู่ในสีที่ขาวใสจนไร้สี โดยเราจะเรียกสีของเพชรที่ไร้สีว่า เพชรสี D หรือเพชรน้ำ 100% เพราะเป็นเพชรขาวใสไร้สี ในทางกลับกัน เพชรบางเม็ดที่มีสี แต่มูลค่าสูงกว่าเพชรไร้สี เพราะเป็นเพชรสีแฟนซี ซึ่งหายากกว่าเพชรทั่วไป เช่นเพชรสีชมพู เพชรสีฟ้า และเพชรสีแดง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม เพชรไร้สียังคงได้รับความนิยมแพร่หลายมากกว่าเพชรแฟนซีอยู่ดี 

สีเพชรแต่ละเกรด 

1.ไร้สี (Colorless)
เพชร D Color เป็นน้ำที่ดีที่สุด เพราะมีสีเจือปนน้อยที่สุด จึงทำให้ดูขาวใสไร้สี ส่วนเพชร E Color และ F Color ก็ดูคล้ายกันจนแยกได้ยากด้วยตาเปล่า มีเพียงนักอัญมณีศาสตร์มืออาชีพเท่านั้นที่จะสามารถแยกแยะเพชร D – E – F Color (เพชรน้ำ 100 – 99 – 98) ได้โดยทั่วไป เพชร D – F Color ควรจะอยู่บนตัวเรือนทองคำขาว เพราะเนื่องจากมีสีขาวอยู่ในโทนเดียวกัน สีจะดูกลมกลืนเข้ากันได้ดี ต่างจากการใส่ในตัวเรือนทองคำสีเหลือง เพราะจะทำให้สีดูตัดกันจนเกินไป และทำให้เพชรดูไม่น่าดึงดูดต่อสายตา 

2.เกือบไร้สี (Nearly Colorless)
สีเพชรเกรดเกือบไร้สี ได้แก่ เพชรเกรด G, H, I และ J โดยเพชรเหล่านี้ เมื่อมองจากหน้าเพชร (ด้านที่กว้างที่สุด) จะดูเหมือนเพชรไร้สี แต่ถ้าหากคว่ำหน้าเพชรลงบนกระดาษสีขาว และสังเกตตรงกลางเพชรจะเห็นสีเหลืองจาง ๆ อยู่ภายในตัวเพชรโดยเพชรเกรด G ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญด้านเพชรเท่านั้นจึงจะมองเห็นสีที่ติดมากับเพชร ในขณะที่เพชรเกรด H แทบไม่ต่างจากเพชรเกรดG แต่นับเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่ากว่า เพราะคุณสามารถนำงบส่วนต่างไปลงกับคุณภาพเพชรในด้านอื่น เช่นเลือกซื้อเพชรที่มีตำหนิน้อยลง (Clarity) หรือมีกะรัต(Carat) ใหญ่ขึ้น แต่ยังคงประกายเพชรแวววาวไว้ได้อย่างงดงามอยู่ในขณะที่เพชรเกรด I หากไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านอัญมณีก็จะไม่สามารถสังเกตเห็นสีได้เช่นกัน ส่วนเพชรเกรด J ถือเป็นตัวเลือกสุดท้าย อย่างไรก็ตาม หากเพชรเกรดนี้ถูกเจียระไนเป็นอย่างดี และเลือกรูปทรงเพชรได้เหมาะสม ก็งดงามได้ไม่แพ้เพชรเกรดอื่น

3.อมเหลืองจางๆ (Faint Tint) 
เพชร K – M Color เป็นเพชรที่ดูเหลืองทันที เมื่อสังเกตด้วยตาเปล่า หลายคนนิยมนำเพชรเหล่านี้ไปประดับบนตัวเรือนทองคำสีเหลือง เพราะสีโทนร้อนมักจะเข้ากันได้ดี 
เนื่องจากเพชรเหล่านี้มีสีอมเหลืองเริ่มชัดเจน จึงมักมีมูลค่าต่ำกว่า G – J อยู่ประมาณ 50% 

4.อมเหลืองเล็กน้อย (Very Light Tint) 
เนื่องจากเป็นเพชรที่มีโทนสีเหลืองหรือน้ำตาล เพชร N – R Color จึงมีมูลค่าต่ำกว่าสีอื่นๆมาก เราจึงไม่แนะนำให้คุณซื้อเพชรเกรดนี้ 

5.อมเหลือง (Light Tint) 
เนื่องจากเป็นเพชรที่มีโทนสีเหลืองหรือน้ำตาลอย่างชัดเจน เราจึงไม่แนะนำให้คุณซื้อเพชรเกรดนี้ 

บทสรุป
เพราะฉะนั้นการที่เราจะเลือกซื้อเครื่องประดับเพชรแล้วอยากได้ เพชรที่สีสวยงาม เงาแวววาว ก็ต้องเลือกซื้อเพชรสี D หรือ เพชรเกรดไร้สี แต่เราก็ต้องอย่าลืมว่าการที่ได้เพชรสีที่ดีก็จะตามมาด้วยราคาที่สูงเช่นกัน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับงบประมาณ กับความพอใจของแต่ละบุคคล 

Image hover effect image

Image hover effect image

555 ซอย โชคชัยจงจำเริญ แขวงบางโพงพาง เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร 10120

Image hover effect image

Image hover effect image

555 ซอย โชคชัยจงจำเริญ แขวงบางโพงพาง เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร 10120

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า